ประกาศข่าว:
  • ขนาดตัวอักษร:
  • -ก ก+
TH
EN
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
Office of the Royal Development Projects Board (ORDPB)

สถาบันอนุชิตพิพรรธน์และกองประสานงานโครงการพื้นที่ 1 สำนักงาน กปร. ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี นางพิชญดา หัศภาค รองเลขาธิการ กปร. นำคณะผู้เข้าอบรมหลักสูตร นักพัฒนาตามแนวพระราชดำริ (พพร.) รุ่นที่ 12 เดินทางศึกษาดูงานในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

วันที่ 15 - 16 พฤษภาคม 2568 สถาบันอนุชิตพิพรรธน์และกองประสานงานโครงการพื้นที่ 1 สำนักงาน กปร. ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมี นางพิชญดา หัศภาค รองเลขาธิการ กปร. นำคณะผู้เข้าอบรมหลักสูตร นักพัฒนาตามแนวพระราชดำริ (พพร.) รุ่นที่ 12 เดินทางศึกษาดูงานในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

15 พฤษภาคม 2568 : คณะฯ เดินทางไปยัง ที่ทำการกลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทานแก่งคอย-บ้านหม้อ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เพื่อร่วมเสวนาชุมชนเรื่อง "ประโยชน์จากเขื่อนป่าสักและการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม" โดยมีนายชั้น โสภา ประธานกรรมการจัดการชลประทานแก่งคอย-บ้านหม้อ และผู้แทนจากกลุ่มผู้ใช้น้ำ บรรยายแนวทางบริหารจัดการน้ำของชุมชน และการวางแผนการส่งน้ำร่วมกับกรมชลประทาน ด้วยการจัดส่งน้ำระบบชลประทานแบบเป็นโซน มีระเบียบกฎเกณฑ์การใช้น้ำอย่างชัดเจน และมีการประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแผนการส่งน้ำและหาแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการใช้น้ำชลประทานที่เกิดขึ้นระหว่างการส่งน้ำในแต่ละเดือนและแต่ละฤดู เพื่อส่งน้ำในการทำการเกษตร ส่งผลให้สามารถส่งน้ำให้กับผู้ใช้น้ำได้อย่างทั่วถึง และกลุ่มผู้ใช้น้ำมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเป็นอย่างดี นับเป็นความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำของโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นแบบอย่างในการพัฒนาอย่างชัดเจน

ประเด็นในการศึกษาดูงาน

1. ประโยชน์ของศูนย์เรียนรู้กลุ่มผู้ใช้น้ำ ชลประทานแก่งคอย-บ้านหม้อต่อการพัฒนาชุมชน

2. แนวทางการขยายผลความรู้สู่ชุมชนอื่น ๆ

จากนั้นคณะฯ ได้เดินทางไปยังเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อรับฟังการบรรยายหัวข้อ "การบริหารจัดการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อประโยชน์ของประชาชน" จากผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ และภาคเครือข่ายการพัฒนา

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แห่งนี้ เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเมื่อ

วันที่ 3 พฤษภาคม 2537 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนฯ

วันที่ 2 ธันวาคม 2537 เริ่มดำเนินการก่อสร้าง

วันที่ 15 มิถุนายน 2541 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเริ่มการเก็บกักน้ำเป็นปฐมฤกษ์

วันที่ 30 กันยายน 2542 การก่อสร้างตัวเขื่อนและอาคารประกอบแล้วเสร็จสมบูรณ์

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ประโยชน์ของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แห่งนี้ ได้แก่

1. บรรเทาอุทกภัย ให้กับพื้นที่ริมแม่น้ำป่าสักและพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน เช่น จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมไปถึงพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

2. สามารถส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรในพื้นที่จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จำนวน 159,500 ไร่

3. เป็นแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค และอุตสาหกรรม ให้แก่ประชาชน ประกอบด้วยการส่งน้ำเพื่อใช้ผลิตน้ำประปา และใช้เพื่อกิจการของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้ไม่มีการขาดแคลนน้ำ ในกิจการดังกล่าว

4. ฟื้นฟูและรักษาสมดุลของระบบนิเวศผลจากการกักเก็บน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ส่งผลให้มีปริมาณน้ำใต้ดิน บริเวณเขื่อนและพื้นที่ด้านท้ายน้ำ มีระดับสูงขึ้น ยังประโยชน์ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ ในด้านการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยผลักดันน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างทำให้การประปานครหลวงสามารถผลิตน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง

5. เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่

จากนั้นคณะฯ ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก ซึ่งระหว่างการก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กรมชลประทาน ได้ขุดพบหลักฐานสำคัญที่เป็นประโยชน์ในด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การดำรงชีพ สภาพแวดล้อม ในพื้นที่โครงการจึงได้มอบหลักฐานให้กรมศิลปากรรวบรวมรักษาไว้ ต่อมาจึงได้ ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำป่าสัก เพื่อจัดแสดงหลักฐานทางโบราณคดีจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ ประชาชนสามารถเข้าชมได้

ประเด็นในการศึกษาดูงาน

1. ศึกษาแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

2. ผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

3. ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการบริหารจัดการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

4. ความท้าทายของการสืบสาน รักษา และต่อยอด การพัฒนาตามแนวพระราชดำริกรณีศึกษาเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

16 พฤษภาคม 2568 : คณะฯ เดินทางไปยังโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลเขาดินพัฒนา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เพื่อรับฟังการบรรยายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่อง "การบริหารจัดการโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน"

เมื่อปี 2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีกระแสรับสั่ง ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนา ไปหาซื้อที่ดินติดกับวัดมงคล (ต่อมาได้รับพระราชทานนามเป็นวัดมงคลชัยพัฒนา) โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นต้นแบบของเกษตรทฤษฎีใหม่อีกด้วย

โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการดังนี้

1. เป็นการสาธิตการบริหารจัดการที่ดินและน้ำสำหรับการทำการเกษตร ที่มีที่ดินขนาดเล็ก

2. สาธิตการจัดทำแปลงทฤษฎีใหม่

3. สาธิตการทำการเกษตรผสมผสาน

4. เป็นสถานที่ศึกษาดูงานของเกษตร นักเรียน และผู้สนใจทั่วไป

5. จำหน่ายผลผลิตเพื่อสร้างรายได้ให้กับโครงการ

จากนั้นคณะฯ ได้เยี่ยมชมแปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ ภายในพื้นที่ของโครงการ

"คน กปร. ตัวคูณ" กับการเรียนรู้พัฒนาที่ยั่งยืน

การศึกษาดูงานในครั้งนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายของสำนักงาน กปร. ในการสร้าง "คน กปร. ตัวคูณ" หรือนักพัฒนาตามแนวพระราชดำริที่มีความรู้และทักษะใน 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

1. ความรู้ในการสืบสาน รักษา ต่อยอด – ผ่านการศึกษาโครงการพระราชดำริที่มีการสืบสานและต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม

2. ความรู้ที่พึงมี – เรียนรู้แนวทางการบริหารจัดการโครงการในพื้นที่จริง

3. ความรู้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง – ศึกษานวัตกรรมการพัฒนาที่ปรับให้เข้ากับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป

4. Soft Skills – ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นผ่านกิจกรรมกลุ่ม

5. ทักษะดิจิทัล การใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน

คณะฯ ร่วมกิจกรรมศึกษาดูงานด้วยความประทับใจและได้รับประสบการณ์ที่มีค่า นอกจากความรู้และทักษะที่ได้รับแล้ว การศึกษาดูงานครั้งนี้ยังช่วยสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เข้าอบรมกับหน่วยงานและภาคีต่าง ๆ ในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวพระราชดำริต่อไปในอนาคต พร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป